ภาษาต่างประเทศ

Sentence Pattern Transformations
ล่าสุด ได้พบคำถามใน Web board เรื่อง Sentence Pattern Transformations ซึ่งคุณแพนด้าได้ชี้นำคำตอบไว้ให้ เห็นเป็นโอกาสอันดีก็เลยตามเข้าไปสำรวจ พบอะไรที่น่าสนใจมากมาย และเห็นว่าหัวข้อนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับงานเขียนภาษาอังกฤษของพวกเรา ก็เลยถือโอกาสนี้นำเรื่องราวอันน่าสนใจเข้ามาในขบวนการงานเขียน โดยได้สรุปในบางส่วน และขยายความในบางตอนเอาไว้ ขอเชิญติดตามได้เลย

Sentence Pattern Transformations คือวิธีการเขียนประโยคใดประโยคหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบของประโยคนั้นๆ เป็นรูปแบบอื่นๆ โดยพยายามคงความหมายเดิมไว้ หรืออาจเปลี่ยนแปลงความหมายไปบ้าง แล้วแต่วัตถุประสงค์ของผู้เขียนเอง มีวิธีการแปลงประโยค ที่มีผู้รวบรวมเอาไว้ นำมาเสนอกันพอเป็นไอเดียดังนี้

1.เปลี่ยนประโยค Active Voice ให้เป็น Passive Voice

My husband gave me a birthday present.

เราสามารถเปลี่ยนประโยคให้เป็น Passive Voice ได้ดังนี้

A birthday present was given to me by my husband.



*หลักการเปลี่ยนประโยค Active Voice ให้เป็น Passive Voice คร่าวๆก็คือ ย้าย Direct Object (a birthday present) มาเป็น Subject จัดการเปลี่ยน verb แท้ของประโยค (gave) ให้เป็น verb to be (ตาม tense ของประโยค) + verb นั้นๆ ช่องที่ 3 ค่ะ แล้วก็ย้าย Subject ไปไว้ท้ายประโยค โดยเติม by ข้างหน้า แค่นี้คับ

2.เปลี่ยนประโยคให้อยู่ในรูปของ There is, There are ใช้ในกรณีที่ประโยคนั้นๆ มี verb to be เป็น verb แท้ของประโยค

· Two men are crossing the street.

There are two men crossing the street.

แค่เติม There is หรือ There are โดยดูตามพจน์ของ Subject และตัด verb to be ของประโยคเดิม แล้วใช้ verb to be ในส่วนของ There is, There are แทน ถ้าเป็น past tense ก็ใช้ There was หรือ There were แทน

3.เปลี่ยนเป็นประโยคแยก 2 ส่วน (Cleft) ใช้เมื่อผู้เขียนต้องการเน้นความสำคัญของ Subject หรือ Object ก็ได้ วิธีนี้จะใช้กับ Sentence Patterns แบบไหนก็ได้

· John is singing a new love song.

เราอาจเปลี่ยนได้เป็น

It is John who is singing a new love song. (เน้นที่ Subject)

หรือ It is a new love song that John is singing. (เน้นที่ Object)



*ขอให้สังเกตว่าเราใช้ It นำหน้าประโยค และการใช้ tense ให้ใช้ตามประโยคเดิมก่อนเปลี่ยนแปลงค่ะ จะเห็นได้ว่า เราแบ่งประโยคออกเป็น 2 ส่วน คือ It is….. และ who/that ซึ่ง who/that เป็น Relative Pronoun เชื่อมคำที่ต้องการเน้น ถ้าเป็น John ซึ่งเป็นคน ใช้ who แต่ถ้าเป็น a new love song (สิ่งไม่มีชีวิต) เราใช้ that

ต่อไปเป็นการเน้นความสำคัญที่ Object เพียงอย่างเดียวค่ะ เราใช้ตัวอย่างเดิมแล้วกัน จะได้เปรียบเทียบได้ชัดเจน

· John is singing a new love song.

เปลี่ยนเป็น What John is singing is a new love song.

เราใช้ What นำหน้าประโยคค่ะ เพื่อให้ประโยคที่เราเขียนมีรูปแบบแตกต่างออกไป ไม่น่าเบื่อ นี่เป็นประโยชน์ของการรู้จักการแปลงประโยค หรือ Sentence Pattern Transformations อย่าลืมสังเกตเรื่อง tense ด้วยนะคับ

4.เปลี่ยนประโยค Affirmative เป็น Negative วิธีนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ เพียงใช้กฎของ Negative Sentence เท่านั้น

· Wicha is my student. (Affirm.Sent.)

Wicha is not my student. (Negative Transformation)

· It was raining hard outside.

It was not raining hard outside.

· My husband gave me a birthday present.

My husband did not give me a birthday present.

5.เปลี่ยนประโยคเป็นประโยคคำถาม ที่ต้องตอบ Yes-No วิธีนี้ก็คือนำ verb to be ของประโยคที่มี verb to be มาไว้หน้าประโยค หรือถ้าประโยคใช้ action verb ก็นำ do,does,did มาวางหน้าประโยค ตามกฎของการเขียนประโยคคำถาม

· Alee is her brother.

Is Alee her brother?

· The doctor is explaining to his patient.

Is the doctor explaining to his patient?

· My father watched the television.

Did my father watch the television?

6.เปลี่ยนประโยคเป็นประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question Words วิธีนี้คือ เลือกใช้ What,When,Where,Why,How,Which,Who,Whom ให้ make sense กับคำตอบ โดยวาง Question Words เหล่านี้หน้าประโยค ตามด้วย verb และ Subject ค่ะ อิงตามกฎของการเขียนประโยคคำถาม

· The cat is sleeping under the tree.

Where is the cat sleeping?

· He laughed happily.

How did he laugh?

· She ordered some soup and bread.

What did she order?

7.เปลี่ยนประโยคให้มีน้ำหนักมากขึ้น (Emphasis) วิธีนี้ ใช้กับประโยคที่มี action verb หรือ linking verb เท่านั้น โดยใส่ do,does,did หน้า verb ตามพจน์ของsubjectและtense ของประโยค แล้วเปลี่ยนverbให้อยู่ในรูป infinitive

· He walks along the road.

He does walk along the road.

· We learn a lot from this class.

We do learn a lot from this class.

· The policeman caught a thief.

The policeman did catch a thief.

· The weeds grew tall.

The weeds did grow tall.

8.เปลี่ยนประโยคเป็นประโยคคำสั่ง ใช้ได้กับประโยคทุกรูปแบบ ขอให้คิดไว้ในใจเลยนะคะ ว่าเรากำลังออกคำสั่งกับ You ดังนั้น verb ที่ตามYou ต้องเป็นverbในรูปที่ใช้กับ You และเป็น present tense เท่านั้น เพียงแต่ละ ไม่เขียน You

· She gave me some money.

Give me some money.

· I made him smile.

Make him smile.

· I am happy.

Be happy.

9.เปลี่ยนประโยคเป็นประโยคอุทาน การเปลี่ยนรูปแบบนี้มีความหมายเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความประหลาดใจ ทึ่ง หรือฉงนสนเท่ห์ (เอาให้ครบ!)โดยนำ What หรือ How มาใส่หน้าประโยค แล้วจัดคำต่างๆ ในประโยคให้เป็นรูปแบบดังข้างล่าง พร้อมทั้งใส่เครื่องหมาย ! ท้ายประโยค จะทำให้มีความหมายเป็นประโยคอุทานดังกล่าวมาแล้ว

· The weeds grew tall.

How tall the weeds grew!

· The policeman caught a thief.

What a thief the policeman caught!

ย้ำ!นะคับว่าการจะนำส่วนไหนของประโยคมาแสดงการอุทาน ขึ้นกับผู้เขียนค่ะว่าต้องการเน้นส่วนไหนเป็นส่วนอุทาน

เวลาเขียนประโยคจริงๆในงานเขียนของเรา อาจจะใช้รูปแบบของ Sentence Pattern Transformations หลายรูปผสมผสานกัน ตัวอย่างเช่น



Passive and Interrogative

· My husband gave me a birthday present.

Why was a birthday present given to me by my husband?



Passive, Negative, and Interrogative ที่ต้องตอบYes-No

· My husband gave me a birthday present.

Wasn’t a birthday present given to me by my husband?



Cleft, Emphasis, and Interrogative ที่ต้องตอบ Yes, No

· My husband gave me a birthday present.

Was it my husband who did give me a birthday present?

หรือ

Was it a birthday present that my husband did give me?

ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นกลวิธีทำให้งานเขียนของเรามีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่ใจของผู้เขียน ถ้าสนใจจะค้นคว้าเพิ่มเติมขอให้เข้าไปศึกษาได้ที่ http://www.towson.edu/ows/SentPattTrans.htm ตามที่คุณแพนด้าแนะนำไว้นะคับ หรืออยากจะเข้ามาคุยกับผมก็ได้ ผมหน่อยยินดีต้อนรับเสมอ

แล้วพบกันใหม่นะขอรับ...........